ความรัก กับอาชีพ ที่ยากจะหาคนรัก และสายตาที่คอยดูถูกอยู่เสมอ

- ทำไมถึงชอบตัดสินกันแค่อาชีพที่ทำ ?
-ทำไมคนเราชอบมองกันแค่ภายนอก ?
( กระทู้แรกในชีวิตผม )

"ที่ชอบอยู่กับคนที่มีอายุ ไม่ใช่เพราะเงินทองเสมอไปหรอกครับ ผมแค่รู้สึกว่า มันทำให้นึกถึงช่วงเวลาในวัยเด็ก แล้วทำให้ยิ้มและมีแรงสู้เพราะนึกถึงเวลา ที่เคยมีแม่ มีพ่อ มีย่า ที่คอยดูแลให้ความสุข ซึ่งมันอาจจะนานจนแทบจะลืมช่วงเวลา ของความอบอุ่น จากอ้อมกอดเหล่านั้นไปแล้ว หรืออาจจะเป็นแค่ความรู้สึกที่เลือนลางไปมาก" หลายครั้ง ที่ต้องเจอกับคำถามมากมาย ว่าทำอาชีพอะไรกันแน่ ถึงได้มีเงินทองมาดูแลตัวเอง โดยที่ไม่เป็นภาระของใคร และชอบถูกมองเป็นเด็กมนุษย์ป้า มนุษย์ลุงบ้าง มีคนเลี้ยงบ้าง ขายตัวบ้างซึ่งในความเป็นจริง ก็ยอมรับว่ามันไม่พอหรอกครับค่าใช้จ่ายอ่ะ เราก็จำเป็นต้องทำงานเพื่อหารายได้ไป แต่ด้วยความที่เป็น นักศึกษา จะเอาเวลาที่ไหน ไปทำงานที่จะไม่ทำให้เราต้องเสียชั่วโมงของการเรียนไป
เลยเป็นจุดเริ่มต้น ที่ทำให้ผมต้องมองหางานทำ และ เป็นเหตุให้ได้รู้จักกับงานประเภทนึง ที่มีลักษณะการให้บริลูกค้าในรูปแบบเอนเตอร์เทรนในสถานบันเทิง บ้างก็เรียกเด็กดริ้ง หรือดีอาร์ บ้างก็เรียกเพื่อนเที่ยว บ้างก็เรียกงานเซอร์ (เซอร์วิส) ซึ่งก็ต้องยอมรับ ว่างานประเภทดังกล่าว ก็จะมีลักษณะของการทำงานแยกย่อยกันไป ตั้งแต่ขั้นดี ขั้นพอดี ไปจนถึง เกินความพอดี ส่วนตัวผมเองทำงานด้วยความพอดี เสมอมา ลูกค้าที่มาใช้บริการจะแตกต่างกันไปในแต่ละกลุ่ม บ้างก็มาเพื่อความสนุกสนาน บ้างก็มาเพื่อหาที่ลงของปัญหาชีวิต ในแต่ละวัน ผมก็ต้องเจอผู้คนมากมายไม่ซ้ำหน้า เจอปัญหาที่แตกต่างกันไปในแต่ละวัน ลูกค้างี่เง่าก็มี ลูกค้าขี้โกงก็มาก นี่คืองานที่ผมเดินเข้ามาเพียงเพราะรายได้ที่สูงตามความสามารถของเรา ผมเริ่มต้นทำงานนี้ตั้งแต่อายุ 17 ครับ (ปวช 1) (ตอน อายุ16 ดรอปเรียน )จนปัจจุบันอายุ 20 ย่าง 21 ปี ชีวิตในวัยเด็กลำบากมาก ครอบครัวยากจนครับ ไม่มีบ้าน ไม่มีทรัพย์สินใดๆ ทรัพย์สินหรือบ้านของแม่ ก็ถูกแม่เลี้ยงแย่งไปครับ เรื่องของผู้ใหญ่มันนานมาแล้ว เราจึงใช้ชีวิตในสลัมบ้าง ในแคมป์ก่อสร้างบ้าง (พ่อทำงานก่อสร้างครับ) ต้องย้ายที่ทำงานไปเรื่อย ย้ายที่อยู่ตามพ่อประจำ จนมีผลกระทบกับการเรียน สุดท้าย แม่ก็ต้องไปฝากป้าให้เลี้ยงดู ตลอดเวลาที่อยู่กับป้าเป็นชีวิต ที่ ทรมานมากครับ พ่อและแม่ ไม่ค่อยมีตังค์ส่งเสีย ป้าก็ต้องรับผิดชอบผมและน้องสาวเราสองคน โดนกดดันตลอดเวลา "พ่อเอ็งไม่ส่งตังค์บ้างแหละ ค่าเทอมบ้างแหละ" และด้วยความที่ผมเป็นคนทะเยอทะยานสูงมาก อยากได้ อยากมี อะไรที่เกินตัว ( เพราะไม่เคยได้มีเลย ) และผมเชื่อว่าสิ่งที่ทำจะทำให้ชีวิตหลุดพ้นจากความลำบากนี้สักทีจึงทำให้ป้า และ ญาติคนอื่นๆ ไม่ชอบนิสัยของผม เป็นเหตุให้ไม่สามารถใช้ชีวิตร่วมกับทุกคนดังกล่าวได้ด้วยดี และแล้ว ช่วงผมอายุ 15 พ่อก็ต้องโทษคดียาเสพติด ติดคุกนานถึง 4 ปี ครอบครัวเราจึงลำบากซ้ำไปอีก แม่ต้องลงไปทำงานที่พัทยา เพื่อส่งเสียเรา 2 พี่น้อง ผมเลยตัดสินใจทำงานตั้งแต่ตอนนั้น ทั้งงานเสริฟอาหาร รับจ้างต่างๆนาๆ เพราะความต้องการที่จะสบาย ลำพังงานที่ทำก็ไม่พอค่าใช้จ่าย แต่โชคดีเป็นเด็กกิจกรรมและมีความสามารถในด้านการร้องติดตัวมา ทำให้ผมได้ถูกทาบทามจากผู้ใหญ่ซึ่งเป็นอาจารย์นักดนตรีที่เคยมอบโอกาสฝึกสอนและชักชวนเข้าวงสมัย มัธยมต้น จนกระทั่งผมเก็บตังค์และตั้งตัวได้ในระดับนึง จึงตัดสินใจเรียนต่อ ปวช ตอนอายุ 17 เป็นสถานศึกษาแบบเปิด ของเอกชน และแล้วค่าใช้จ่าย ค่าเทอม ยังคงขัดสนอีกเช่นเคย ผมจึงเริ่มทำงานดังที่ได้กล่าวไว้เป็นอันดับแรก "เพื่อนเที่ยว ดีอาร์ เด็กดริ้ง" งานนี้มีรายได้ค่อนข้างสูง และ ทริปค่อนข้างหนักครับ ผมทำงานได้คืนละไม่ต่ำกว่า 6,000 พันบาท จนทำให้ผมลืมตาอ้าปากได้ และ เริ่มเข้าขั้นสบาย มีที่อยู่ดีๆ มีรถจักรยานยนต์ละครับ พอ 18 ก็ทำพาสปอร์ตและลงงานประเภทเดิมในรูปแบบงานแทรคที่ ต่างประเทศครับ ไปกับเอเจนซี่ หรือ โม ที่ดูแลเรา ลงสิงค์โปร มาเลเซีย ใต้หวัน หรือ ญี่ปุ่นบ้าง จนมีรถยนต์ละครับ มีชีวิตที่กลางๆ พอจบ ปวช ผมต้องเรียนต่อในระดับ มหาวิทยาลัย พ่อออกจากคุกแล้วครับ แต่ ครอบครัวเราไม่ได้ใช้ชีวิตร่วมกันอีกต่อไป พ่อมีภรรยาใหม่ แม่มีสามีใหม่ ผมดูแลน้องสาวร่วมกับแม่มาตลอด ช่วงผมจบ ปวช ต้องเข้ามหาลัย น้องสาวก็เรียน ปวช 1 ละครับ ค่าใช้จ่ายก็มาก เรียนเอกชนทั้งคู่ เหตุไม่เรียนรัฐบาล เพราะต้องทำงานร่วมด้วยครับ ไม่สามารถไปเรียนได้ตลอด ผมเลยต้องทำงานมากขึ้น ครั้งนี้เลยเป็นเหตุให้รับงานเพื่อนเที่ยว ให้ควงทานข้าว ดูหนัง หรือออกเที่ยวต่างถิ่นมากขึ้น จึงเป็นเหตุให้ไม่ได้ไปเรียนเลย และต้องยอมจ่ายค่าซ่อมต่างๆ นาๆ สูงมาก สุขภาพร่างกายก็ดื่มเหล้าได้ไม่มากเหมือนเดิมแล้ว แต่ในขณะเดียวกัน ก็ยังไม่สามารถที่จะหยุดทำงานได้ในตอนนี้ เพราะอีก 2 ปีถึง จะจบมหาลัย และอีก 1 ปีน้องสาว จะจบ ปวช ในขณะเดียวกัน ที่ผมต้องทำงานนี้ไปเรื่อยๆ ก็ต้องเจอกับความเหงาบ้าง ความท้อบ้าง อยากมีคนรักที่จริงใจและให้ความอบอุ่นสักคน กลับมีแต่สายตาที่ดูถูก และ ขอให้เลิกทำงานแบบนี้ และสุดท้ายนี้ ผมอยากจะบอกทุกคนว่า ชีวิตของคนเรา เลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะทำและเดินไปสู่หนทางที่ดีกว่าได้ ทุกคนมีภูมิฐานของชีวิตแตกต่างกัน หน้าตา ฐานะ สุขภาพ มีข้อได้เปรียบเสียเปรียบแตกต่างกันในชีวิต และมีข้อได้เปรียบ เสียบเปรียบที่ไม่เหมือนกันในเส้นทางของอาชีพ ผมไม่รู้ ว่าทำไมถึงลุกขึ้นมาตั้งกระทู้แบบนี้ อาจจะด้วยความเหงา ความรู้สึกที่อยากจะบอกเล่าออกไปให้ใครก็ได้มารับรู้บ้าง ใครก็ได้ที่ไม่ใช่แค่ลูกค้าที่มองเราด้วยสายตาที่เหยีดหยามกันเหลือเกิน ขอบคุณที่อ่านจนจบ หากกระทู้นี้มีข้อผิดพลาด ไม่ว่าจะเรื่องของภาษา หรือ ประการใดก็ตาม ผมขออภัยเพื่อนๆ ชาวพันทิปไว้ตรงนี้ด้วย ขอบคุณครับ ^^
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่